เทศน์พระ

ต้องรู้จริง

๒๓ พ.ค. ๒๕๕๒

ต้องรู้จริง
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์พระ วันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๕๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต. หนองกวาง อ. โพธาราม จ. ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรม ธรรมะมันมีมากมายมหาศาล เพราะมันต้องตอบสนองหัวใจสัตว์โลกทุกๆ ดวงใจ ใจของสัตว์โลกแต่ละดวงแตกต่างกัน หยาบละเอียด ลึกซึ้งหนาบางแตกต่างกันมากมายมหาศาล ด้วยบุญกุศล ด้วยบาปอกุศลของแต่ละบุคคลที่สร้างมา

สิ่งที่สร้างมาเห็นไหม “ธรรมะ” ธรรมที่จะเข้าไปเจือจานในหัวใจของสัตว์โลก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “ธรรมะในพระไตรปิฎกที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเทศนาว่าการมา ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์นี้ เปรียบเหมือนใบไม้ในกำมือ”

ข้อเท็จจริงความเป็นจริงเรื่องของสัจธรรมเห็นไหม ใบไม้ในป่ามากกว่าใบไม้ในกำมือ ใบไม้ในกำมือนี้เท่านั้นที่ว่าเอามาสั่งสอนพอที่จะเป็นปูนหมายป้ายทางให้เราก้าวเดินตาม

แต่พวกเราเวลาศึกษาประพฤติปฏิบัติกันไปแล้ว ด้วยทิฏฐิมานะด้วยความเห็นของเรา ว่า ใบไม้ในป่าทั้งหมดต้องเหมือนใบไม้ในกำมือเราเท่านั้น ถ้าใบไม้ในป่าที่มันแตกต่างกับใบไม้ในกำมือของเรา เราบอกสิ่งนั้นไม่ใช่ใบไม้ แต่ข้อเท็จจริงมันเป็นใบไม้หรือไม่เป็นใบไม้ มันจะเป็นใบไม้ก็ต่อเมื่อนายพรานป่าหรือในผู้ที่เข้าใจถึงสัจธรรมความจริงว่าสิ่งนั้นควรใช้ประโยชน์สิ่งใด

พวกพืชสมุนไพรเห็นไหม หมอที่เขาเป็นหมอยา พืชสมุนไพรต่างๆ เขาเอามาใช้เป็นประโยชน์กับเขาได้ทั้งนั้นเลย ผู้ที่มีสัจธรรมรู้สัจธรรมความเป็นจริง ใบไม้ทั้งหมดเป็นประโยชน์กับการรักษาเรื่องโรคภัยไข้เจ็บได้ทั้งนั้น สิ่งที่รักษาโรคภัยไข้เจ็บเห็นไหม เพราะถ้าโรคภัยไข้เจ็บนั้นหายไปแล้ว ใบไม้นั้นจะมีความหมายมีความจำเป็นกับผู้ที่หายจากโรคภัยไข้เจ็บนั้นหรือไม่

ผู้ที่หายจากโรคภัยไข้เจ็บนั้นเพราะใจของเขาหายจากโรค ใบไม้นั้นก็คือใบไม้นั้น แต่เขาไม่คัดค้านใบไม้นั้นหรอกว่าใบไม้นั้นไม่ใช่ใบไม้ หรือพืชสมุนไพรนั้นไม่ใช่พืชสมุนไพร เป็นพืชสมุนไพรเอาไว้รักษาโรค คนที่ยังเป็นโรคอยู่ที่เขาต้องการใบไม้นั้น นี่สัจธรรมที่เป็นสัจจะความจริงเห็นไหม สิ่งที่เป็นความจริงนั้นมีอยู่

ทีนี้ของผู้รู้จริง คำว่ารู้จริง ใจรู้จริงนั้นทุกอย่างจะถูกต้องชอบธรรมหมด แต่ใจที่ไม่รู้จริงนะ สิ่งใดก็แล้วแต่ถ้าเรายังไม่เข้าใจเรายังไม่รู้จริงเห็นไหม ธรรมะถ้าเรายังลังเลสงสัยอยู่ เรายังไม่เข้าใจว่าสิ่งนั้นถูกหรือผิด เราจะยังไม่ควรแสดงออกไป พอเราแสดงออกไปเห็นไหม เราทำให้หลงผิดนี้เป็นโทษอย่างหนึ่ง เพราะ ! เพราะเราหลงผิดเห็นไหม คนที่หลงผิดแล้วเดินถูกต้องมันเป็นไปไม่ได้

หลวงปู่มั่นบอกว่า “ต้นคดปลายตรงไม่มี” ต้นต้องตรงเห็นไหม พอต้นต้องตรง เริ่มต้นคำว่าต้นต้องตรง เวลาเราปลูกพืชกัน เราต้องเตรียมพื้นดิน เราต้องเตรียมทุกๆ อย่าง เราต้องมีกล้า เราต้องมีทุกอย่างพร้อม เราต้องมีอาหาร มีแดด มีน้ำ พืชนั้นถึงจะเติบโตขึ้นมาได้

ในการประพฤติปฏิบัติของเรา เราปรารถนาเพื่อจะพ้นจากทุกข์ เราศึกษาแสวงหาธรรมะกันอยู่ เราแสวงหาธรรมที่ไหน เราจะปลูกต้นไม้บนอากาศ ต้นไม้บนก้อนเมฆหรือเปล่า ต้นไม้บนก้อนเมฆนั้นปลูกไม่ได้ ก้อนเมฆมันเคลื่อนที่ตลอด ก้อนเมฆเป็นไอน้ำที่เกาะกลุ่มกันเป็นก้อนเมฆ มันจะปลูกพืชได้อย่างไร เดี๋ยวมันก็ละลาย เดี๋ยวมันก็เปลี่ยนแปลง มันทรงตัวอยู่ไม่ได้

สัจธรรมที่เราแสวงหาอยู่มันเป็นนามธรรมทั้งหมดเลย แล้วพื้นที่ที่เราจะหาสัจธรรมใครเป็นคนแสวงหาสัจธรรมล่ะ เห็นไหม เราแสวงหาสัจธรรมนั้นเป็นเรื่องหนึ่ง ตัวตนของเราเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เราต้องกลับมาดูที่ตัวตนของเรา เราถึงต้องหาตัวตนของเราให้เจอ ทำตัวตนของเราให้เจอ แม้แต่การค้นหาตัวตนของเราให้เจอมันยังไม่เป็นสัจธรรมเลย

เพราะตัวตนของเราเห็นไหม จิต วิญญาณ วิญญาณปฏิสนธิ สิ่งที่วิญญาณปฏิสนธิน่ะ วิญญาณปฏิสนธิกับวิญญาณในขันธ์ ๕ วิญญาณความรับรู้ ความคิด วิญญาณที่รับรู้วิญญาณในขันธ์ เพราะเราเกิดเป็นสถานะของมนุษย์แล้ว เรามีขันธ์ ๕ แล้ววิญญาณพวกนี้มาจากไหน

วิญญาณความคิด ความคิดน่ะ วิญญาณน่ะ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ วิญญาณอย่างนี้วิญญาณอายาตนะ สิ่งที่เป็นอายตนะเราก็รับรู้กันแค่เปลือกๆ เท่านั้นน่ะ แต่ตัวจริงของจิตมันอยู่ที่ไหน ตัวพลังงานมันอยู่ที่ไหน ปฏิสนธิจิตน่ะตัวเกิดตัวตาย ตัวภวาสวะ ตัวสถานที่ ตัวที่จิตเริ่มต้นของพลังงาน สิ่งที่พลังงานอวิชชามันอยู่ที่นั่น อวิชชามันอยู่ที่จิตไม่ได้อยู่ที่ความคิด

ความคิดเกิดจากจิตไม่ใช่จิต ความคิดเกิดจากจิตเห็นไหม แล้วเราไปรู้กันที่ความคิด ถ้าความคิดของเราความรู้ของเรายังไม่ชัดเจน เราไม่ควรพูดสิ่งใดออกไป พูดเสร็จแล้ว ดูสิ มันเป็นเหตุเป็นผลที่เขาจะโต้แย้งกลับมา ถ้าโต้แย้งกลับมาแล้ว เห็นไหม มันก็เป็นการทำให้ศาสนาสะเทือนไปด้วยไง หยิกเล็บก็เจ็บเนื้อ

ในเมื่อบุคลากรในศาสนา เห็นไหม ดูสิ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เป็นเจ้าของศาสนา เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากศาสนาไว้กับภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เราเป็นชาวพุทธ เราเป็นเจ้าของศาสนา เจ้าของศาสนาทำไมเปลี่ยนลัทธิเปลี่ยนศาสนาล่ะ ทำไมย้ายศาสนาล่ะ มันนับถือของมันนะ

ตัวเองไม่มั่นคงในศาสนา ตัวเราไม่มั่นคงในศาสนา เห็นไหม ดูสิ พุทธมามกะ ต้องถือศีล ๕ ต้องมีศีลของเรา แต่ถ้าเราเป็นสามเณร เราต้องถือพระรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ยิ่งเราเป็นภิกษุ เราเป็นนักบวชเห็นไหม ศีล ๒๒๗ เป็นรัฐธรรมนูญของพระ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ เฉพาะศีล ธรรมและวินัยเป็นข้อบังคับของเรา สิ่งที่บังคับๆ เพื่อใคร ธรรมและวินัยบังคับเรานะ

เราอยู่กันเป็นหมู่เป็นคณะ เป็นสงฆ์ เป็นสังฆะ เป็นหมู่สงฆ์ไง สังฆะสมมุติสงฆ์ อยู่ด้วยกัน ๔ องค์ขึ้นไปเป็นสงฆ์ สงฆ์นั้นอยู่เป็นสงฆ์ขึ้นมาเพื่ออะไร เพื่อปรึกษากัน เพื่อดูแลกัน เพื่อเจือจานกัน เพื่อแก้ความลังเลสงสัยต่อกัน เห็นไหม นี่เป็นสังฆะ

สิ่งที่เป็นสังฆะน่ะ ธรรมวินัยเพื่อความสงบสุขของสงฆ์ไง ทิฏฐิเสมอกัน ความเห็นเสมอกันน่ะ ความเป็นอยู่ของเราจะราบรื่น การราบรื่นนะ มุมมองเดียวกัน เป้าหมายเดียวกัน มุมมองของเราคือพ้นจากทุกข์ ในเมื่อพ้นจากทุกข์ ในการประพฤติปฏิบัติทุกคนจะอำนวยความสะดวกให้ การให้โอกาสต่อกันนะ การประพฤติปฏิบัติมันก็ราบรื่น

ถ้าไม่ให้โอกาสต่อกันเห็นไหม คนหนึ่งปฏิบัติอีกคนหนึ่งกระทบกระเทือนตลอดเวลา ถ้าข้างนอกไม่สงัดข้างในจะสงัดได้อย่างไร ความสงบจากภายนอก ความสงบจากภายใน กายวิเวก จิตวิเวก ถ้ากายไม่วิเวกจะเอาความวิเวกจากจิตมาจากไหน ถ้ากายวิเวกเห็นไหม ดูสิ เดินจงกรมอยู่ การเคลื่อนไหวอยู่ กายไม่วิเวก กายเคลื่อนไหวอยู่แต่จิตนี้มันสงบได้ เพราะการเคลื่อนไหวอยู่นี้เป็นอริยาบถ ๔

อริยาบถ ๔ การเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาเห็นไหม ถึงกายจะเคลื่อนไหวอยู่แต่กายเคลื่อนไหวเพื่อความสงบไง แต่การกระทบกระเทือนกัน กายเคลื่อนไหวเสียงกระทบกระเทือนเสียงดังขึ้นมา กายเคลื่อนไหวด้วยความเคลื่อนไหว กายเคลื่อนไหวเห็นไหม นี่จิตแก้จิต

ถ้าจิตมันแก้จิต ถ้าจิตเจตนาของความสงบ แต่กายเคลื่อนไหวไปมันเคลื่อนไหวไปเพื่อความสงบเห็นไหม การเคลื่อนไหวมันสักแต่ว่า มันเป็นกิริยาจากภายนอก แต่กิริยาจากภายในมันสงบของเขาขึ้นมาได้ เดินจงกรมอยู่จิตสงบได้ พอจิตสงบจะรวมใหญ่ขึ้นมาเดินไม่ได้ต้องยืนรำพึง ยืนรำพึงไม่ได้ต้องนั่งลง สมาธิภาวนาจิตมันรวมลงได้ท่ามกลางการเดินจงกรม

สิ่งนี้ถ้าผู้ประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันวิเวก ความวิเวกน่ะมันถนอมรักษาจากภายใน ถ้าถนอมจากภายในจิตมันจะรักษาของมัน เห็นไหม ถ้าจิตเราสั่งมาเป้าหมายเราอยู่ที่ไหน การประพฤติปฏิบัติก็เพื่ออะไร ถ้าเพื่อจิต เพื่อความเป็นธรรมนะ

สิ่งต่างๆ ปัจจัยเครื่องอาศัยสิ่งนี้เป็นเครื่องรอง แต่ถ้าเราเป็นพระกัน เป็นเจ้าของศาสนาเพื่อโลกไง มันเป็นรูปแบบที่เอามาอวดกัน อย่างภายนอกข้อวัตรปฏิบัติ ดูสิ สงบเสงี่ยมเรียบร้อย แต่ข้างในน่ะนกกระยางเห็นไหม มันยืนรอกินปลา มันยืนอย่างสงบเสงี่ยมสวยงามมาก นกกระยางขาวปลอดเลยนะ แต่มันรอให้ปลาเผลอนะ มันจิกกินทันทีเลย ! ถ้าปลาเข้ามาใกล้

ถ้าจิตเราเศร้าหมอง จิตเราลังเลจากภายใน เราต้องย้อนกลับมาที่หัวใจของเรา ถ้าเพื่อธรรมนะ สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่พึ่งพาอาศัย ข้อปฏิบัติทำเพื่อใคร เวลาทำข้อวัตรปฏิบัติขึ้นมาทำเพื่อธรรมไง ถ้าทำเพื่อธรรมทำแล้วมันมีความสบายใจ ทำแล้วไง เราไม่ได้เอาเปรียบใคร

กิเลสนะมันอยู่มันนอนเนื่องมากับใจ อนุสัยนอนเนื่องมากับใจ ใจมันแข็งกระด้าง ทำต่างๆ ทำสิ่งใดมีน้อยเนื้อต่ำใจทั้งนั้นน่ะ ทำสิ่งใดเราก็เสียเปรียบเขาทั้งนั้นน่ะ แต่ถ้าเราได้เปรียบเขาเราจะมีความพอใจ ได้เปรียบคือกิเลสมันได้เปรียบไง ถ้าข้างในน่ะมันข่มขี่ใจ กิเลสมันข่มขี่มาก่อน ต้องมีเล่ห์กลเพื่อเอาชนะคะคานกัน

ถ้าชนะคะคานกันเห็นไหม กิเลสมันยิ่งตัวใหญ่ขึ้นมาตลอดเวลา ยิ่งกิเลสมันยิ่งข่มขี่หัวใจ หัวใจยิ่งมีทิฏฐิมานะ แต่รู้ข้างนอกนะว่าเรามีความเมตตา เมตตาของใคร เมตตาเพื่อเมตตา ทำเพื่อธรรมนะ มันทำด้วยความสะดวกความสบายใจ

ไม่มีกำไม้ในมือเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกมือเราแบตลอด มือสะอาดบริสุทธิ์ตลอด จิตใจถ้าสะอาดบริสุทธิ์มันจะเข้าที่ไหนก็ได้ เพราะเราก็มีเจตนาบริสุทธิ์ ทุกอย่างก็บริสุทธิ์

คำว่าบริสุทธิ์ บริสุทธิ์ด้วยเจตนาแต่จิตยังไม่ได้บริสุทธิ์ เจตนาบริสุทธิ์เฉยๆ แต่จิตนี้อวิชชา ถ้าเจตนามันบริสุทธิ์มันต้องทำความสงบของใจเข้ามาให้ได้ ถ้าใจมันสงบเข้ามาให้ได้เห็นไหม พอจิตสงบเข้ามา ทุกอย่างสะอาดหมดในร่างกายเรา เราชำระร่างกายมันสะอาด แต่ความสะอาดมันอยู่กับเราได้ไหม เดี๋ยวเหงื่อไคลมันก็ต้องออกมาเป็นธรรมดา ในเมื่ออวิชชามันอยู่กลางหัวใจ มันสะอาดบริสุทธิ์ขนาดไหน เจตนาดีขนาดไหน มันก็มีอวิชชาอยู่ในหัวใจนั้น

อวิชชายังไม่ถอนขึ้นมาจากใจ สิ่งต่างๆ ไว้ใจไม่ได้ทั้งนั้นน่ะ เจตนามันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จิตของเราไว้ใจไม่ได้ทั้งหมด ทุกคนไว้ใจตัวเองไม่ได้ ถ้าไว้ใจไม่ได้เราจะตั้งใจอย่างไรเพื่อจะให้เราไว้ใจตัวเองได้ มันต้องมีเหตุมีผลสิ

การกระทำเห็นไหม ดูสิ เหตุผลนะ “ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ” แล้วเหตุมันอยู่ที่ไหน เราจะรักษาเหตุด้วยวิธีการใด ถ้าเรารักษาเหตุเห็นไหม เรารักษาเหตุจากภายนอก นี่ข้อวัตรปฏิบัติมันเป็นเปลือก มันเป็นสิ่งที่ถนอมรักษาสังคมและความเป็นสุข

ดูสิ ดูร่างกายของเราสิ ร่างกายของเราต้องมีอาหารใช่ไหม ต้องมีการพักผ่อนขึ้นมา ร่างกายมันจะได้ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย แต่สิ่งที่อยู่ในร่างกายมันมีอะไร มันมีหัวใจนะ หัวใจนี้มันทุกข์มันร้อนอยู่ในร่างกายนี้ มีสิ่งใดปรนเปรอมาขนาดไหนมันก็ไม่ได้สมดังใจมัน ถ้ากิเลสมันแผลงฤทธิ์ออกมา

ธรรมะกว่าจะขยับตัวได้นะ กิเลสมันให้โอกาสทำงาน ถ้ากิเลสมันตื่นขึ้นมา ธรรมะหายหมดเลย สงบเสงี่ยมอยู่เวลามันเกิดกิเลสขึ้นมามันเหยียบย่ำทำลายธรรมวินัยในหัวใจเราหมดเกลี้ยงเลย

เราเป็นพระจากข้างในนะ พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เจอพุทธะที่ไหนต้องฆ่าพุทธะก่อน เราไม่เจอพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เราบวชเป็นสงฆ์ขึ้นมาเราก็ว่าเราเป็นพระ เรามีศีลมีธรรมของเรา สังคมยอมรับนับถือ เราพอใจของเรา นี่มันนอนใจไม่ได้

ถ้านอนใจกิเลสตัวมันจะหน้าด้าน มันจะฮึกเหิมขึ้นมาทันที ดูสิ ทุกคนยอมรับ การยอมรับของสังคมมันจะมีประโยชน์อะไรขึ้นมา คนโง่ยอมรับน่ะ กิเลสในหัวใจของเราธรรมะยอมรับไหม ถ้าธรรมะยอมรับในหัวใจ ธรรมวินัยนี้ยอมรับเราสักคนเดียวนะ โลกเขาจะติเตียนขนาดไหนมันเรื่องของโลกเขา

โลกเห็นไหม ขนโคกับเขาโค เขามี ๒ เขา ขนโคมีเต็มตัวมันเลย โลกมีคนโง่หรือคนฉลาดมาก มีแต่คนโง่ทั้งนั้นน่ะ โง่ที่ไหน โง่ที่ตัวเองไง เอาตัวเองไม่รอดไง เอาตัวเองไม่ได้ ทุกอย่างเข้าใจไปหมด ธรรมะเข้าใจหมดเลย เข้าใจขึ้นมาแล้วมันเข้าถึงใจเราไหม เข้าใจแต่เปลือกเข้าใจแต่ปากเปียกปากแฉะไง แต่หัวใจเป็นอย่างไร? หัวใจมันมีอะไรค้ำจุนมันบ้าง

หัวใจที่เรียกร้องความช่วยเหลืออยู่ มันต้องการดิ้นรนเพื่อที่จะพ้นจากกิเลสทั้งนั้น แต่เราไม่มีสิ่งใดจะเข้าไปเยียวยามัน สติก็ไม่มี สมาธิก็ไม่มี ปัญญาที่พูดขึ้นมานี้เป็นสัญญาทั้งนั้น สัญญาที่เกิดขึ้นมานี้เป็นสัญญาที่เกิดขึ้นมาจากใจเป็นโลกียปัญญา โลกทัศน์ โลกความเป็นโลก ความคิดของโลก

ถ้าจิตสงบเข้ามามันจะเป็นตัวพลังงาน ตัวพลังงานเป็นจิต สัมมาสมาธิเป็นสากล ลัทธิไหนเขาทำสมาธิ แต่สมาธิเขาทำกันเขาทำสมาธิไปเพื่อเหตุใด เขาทำสมาธิขึ้นมา ของเขานี้เขาคิดว่าสมาธินี้เป็นผลเพราะเขาไม่เคยรู้จักธรรมะ เขาไม่รู้จักสิ่งใดๆ เลย พอจิตสงบขึ้นมาก็ทึกทักเอาว่าสิ่งนี้เป็นธรรม เป็นธรรม ทึกทักเอาแต่ไม่เป็นความจริง ! ถ้าเป็นความจริงน่ะมันจะต่างจากธรรมะของเราได้อย่างไร มันจะต่างจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างไร

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาทำขึ้นมาเห็นไหม ดูสิ มรรคญาณมันเกิดขึ้นมา ธรรมจักรมันเคลื่อน ธรรมจักรมันหมุนออกไปจากใจ ธรรมจักรออกไปจากพลังงานของจิต ธรรมจักรๆ มันอยู่ที่ไหน ธรรมจักรของโลกเขา นั่นเป็นตำรานะ

การงานชอบ เพียรชอบน่ะ อันนั้นเป็นชื่อของมรรค ๘ แต่ตัวจริงของมรรคมันอยู่ไหน เวลาทำเป็นรูปเคารพมาก็ไปแกะกันเป็นธรรมจักรเป็นหินขึ้นมานั่น นั่นเขาเอาไว้ให้หมาเยี่ยว ให้หมามันไปเยี่ยวไปขี้นั่นน่ะ แต่ของจริงมันอยู่ไหน เราไปถูไปทำความสะอาดกันแล้วหัวใจมันสกปรกมันทำความสะอาดมาบ้างหรือเปล่า

ถ้ามันทำความสะอาดหัวใจขึ้นมา มรรคมันเกิดที่นี่ เพราะอะไร เพราะความเพียรชอบ งานชอบ ความเพียรไง งานชอบๆ ที่ไหน งานชอบแบกหามน่ะเหรอเป็นงานชอบ งานนั้นเป็นงานของฆราวาสเขา งานของพระนั่งนิ่งๆ หัวใจมันก้าวออกมาไหม ปัญญามันได้เกิดขึ้นมาหรือเปล่า

ถ้าปัญญามันได้เกิดขึ้นมา ปัญญาของใคร ปัญญาของกิเลสมันเอาธรรมะมาอ้างนะ เวลาทำปัญญาขึ้นมาธรรมจักร โลกเห็นไหม สัมโภชฌงค์ โอ้โหย สิ่งที่เป็นธรรมะนี้จะฆ่ากิเลสนะ กิเลสมันเอาธรรมะฟาดใส่ตัวเองใส่หน้าเรา เราไม่รู้ตัวเลยว่ากิเลสมันเอาธรรมะมาอ้าง ! มันธรรมะของใคร?

มันเป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราได้อะไรขึ้นมา เรามีความรู้ความเห็นอะไรขึ้นมาถึงเป็นธรรมะของเราบ้าง ถ้าเป็นธรรมะของเรานะจิตสงบเข้ามา เราจะรู้ว่าเราสงบ เรามีสติสัมปชัญญะ เราจะยับยั้งความคิดของเราได้ตลอดเวลา

ความคิดนี้มันเกิดขึ้นเพราะอะไร เพราะตัณหาความทะยานอยาก ถ้าความคิดนี้ไม่มีตัณหาความทะยานอยากความคิดเกิดขึ้นมาไม่ได้ จิตมันสงบมันสบายของมัน จิตมันจะอยู่ทรงตัวของมันโดยธรรมชาติของมัน มันมีสติสัมปชัญญะควบคุมอยู่ สัมมาสมาธิมันเกิดอย่างนี้

ไม่ใช่ว่ามันว่างๆ อยู่ ว่างๆ โดยไม่มีเจ้าของ ไม่มีสติ ไม่มีสัมปชัญญะ ไม่มีใครควบคุมมันเลย ปล่อยให้มันไหลไปตามกระแส สิ่งที่ไหลไปตามกระแส พลังงานดูไฟสิ เห็นไหม เรามีเครื่องปั่นไฟขึ้นมา เรามีสายส่งเอาพลังมาให้ ดูไฟฟ้าสถิตบนอากาศสิ ฟ้าผ่าทีหนึ่งนี่เราควบคุมมันได้อย่างไร เราเอาอะไรไปควบคุมมัน แรงเสียดสีของไฟฟ้าสถิตบนอากาศนี้มันมีแรงเสียดสีกัน พลังงานของมัน มันทำลายทั่วๆ ไป มันก็มีของมันเป็นธรรมชาติของมัน

กิเลสก็เหมือนกัน ! กิเลสในหัวใจ ธรรมะนี่ มีสติสัมปชัญญะควบคุมอย่างไร รู้จักตัวเองพลังงานของตัวเองเป็นอย่างไร กำลังของตัวมีมากน้อยแค่ไหน สิ่งที่มันเหยียบย่ำมาในหัวใจใครพาเหยียบย่ำ ตัวมันก็ไม่เห็น กิเลสไม่เคยเห็นหน้ากิเลสเลย ไม่รู้จักกิเลสเลย บอกว่าชำระกิเลส

กิเลสมันอยู่ที่ไหน? กิเลสมันอยู่ที่ใจ แล้วใจมันอยู่ที่ไหน? ใครครอบคลุมหัวใจอยู่ พลังงานตัวไหนมันครอบคลุมอะไรของเราอยู่ มีแต่กิเลสพาขับเคลื่อนความรู้สึกความคิดของเรา แล้วตื่นเต้นไปกับอารมณ์ความรู้สึก เพราะตัวเองรู้ฟ้า รู้ดิน รู้ทุกอย่าง แล้วพูดออกไปเสียหายทั้งนั้นเลย

ถ้าสิ่งใดยังลังเลสงสัยอยู่ สิ่งใดยังไม่รู้จริงอย่าเพิ่งมั่นใจ อย่าเพิ่งชะล่าใจ อย่าเพิ่งแสดงออก การแสดงออกไปน่ะเป็นผลตอบสนองขึ้นมา มันสะเทือนถึงธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สัจธรรม นี่ไงธรรมะ เห็นไหม ภิกษุผู้ทรงศีลทรงธรรมแสดงออกมามันเป็นธรรม หรือมันเป็นโลก หรือมันเป็นกิเลส

ถ้ามันเป็นธรรมขึ้นมาสัจธรรมมันมีอันเดียวไม่มีสอง สัจธรรมนี้ต้องเป็นหนึ่งเดียว การแสดงออกมาแสดงด้วยกิเลสเป็นสอง แม้แต่ผู้แสดงมันก็เป็นสองอยู่แล้วเพราะกิเลสกับหัวใจมันเป็นคนละเรื่องกัน พลังงานมันมีพลังงานของมัน มันมีตัวจิตอยู่นะ

ตัวจิตมันมีศักยภาพของมัน ทำดีมา ได้สะสมสิ่งใดมา มันก็เกิดมาเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม ทำชั่วอกุศลมามันก็เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน มันเกิดในนรกอเวจี แล้วมาเกิดเป็นมนุษย์นี่เห็นไหม มันก็แบ่งมาเป็นสถานะกลางให้เราทำดีก็ได้ทำชั่วก็ได้

ทำดีเห็นไหม แต่ธรรมะในเมื่อสังคมเขายอมรับกันว่าสัจธรรม ศีลธรรมจริยธรรมเป็นสิ่งที่ดีงาม กตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องแสดงออกของคนดี มันก็มีมารยาทสังคม การแสดงออกกตัญญูกตเวทีเปลือกๆ กัน แต่หัวใจมันจะเชือดเฉือนกัน จะทำลายกันตลอดเวลา สิ่งที่ทำลายตลอดเวลาเห็นไหม สิ่งที่ทำลาย อะไรทำลายอยู่

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ต้องบอกใคร สันทิฏฐิโกรู้จำเพาะตน ยับยั้งตัวเองได้ตลอด ความสุขความทุกข์เป็นของเรา สิ่งต่างๆ รับรู้ได้ทั้งนั้น ใส่หน้ากากเข้าหากัน สิ่งที่ว่าสิ่งนั้นเป็นคุณงามความดี แล้วก็เอาซ่อนดาบไว้ข้างหลังคอยเชือดเฉือนทำลายกันนะ

จิตของเราความคิดของเราน่ะมันทำลายเราไหม มันซ่อนคมซ่อนพิษสิ่งใดทำลายหัวใจเราอยู่ ถ้าเราปล่อยให้มันทำลายเราอยู่อย่างนี้ เราว่าเราเป็นคนรักตนหรือเปล่า ถ้าเราเป็นคนรักตนนะ เราต้องเอาตนเรารอดจากสิ่งที่ชั่วช้าในหัวใจของเรา เป็นสิ่งชั่วช้า !

เวลาครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเห็นไหม เวลาท่านจะปลุกปลอบตัวของท่านเอง ท่านจะติเตียน เอาธรรมะ.. มันเป็นยอดธรรมใช่ไหม ติเตียนความเลวความทราม ความขี้เกียจขี้คร้าน ติเตียนหัวใจของเราที่มันนอนจมกับกิเลส ธรรมะเป็นของดี สมาธิปัญญาเป็นของดีทั้งหมด แต่ทำไมไม่ขวนขวาย ทำไมไม่แสวงหา

สิ่งที่แสวงหาขึ้นมามันเป็นความจริงตามธรรมหรือไม่ ถ้าเป็นความจริงตามธรรมมันเป็นสัมมา สัมมาคือมันถูกต้องดีงาม เห็นไหม ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบ แล้วเรารู้โดยไม่ชอบ รู้แต่ไม่ชอบ ไม่ชอบธรรม รู้โดยขโมย รู้โดยสัญญา รู้โดยฉกฉวยความจริงออกมาเห็นไหม

ในปัจจุบันนี้ ดูสิ ทรัพย์สินทางปัญญาของเขา สมบัติของเขาเราไปก็อบปี้เขามา เขาฟ้องเอาค่าเสียหายเลย นี่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านไม่ได้ถือลิขสิทธิ์ ท่านเผยแผ่ ท่านต้องการให้สัจธรรม ให้สาวก สาวกะ ให้บริษัท ๔ ได้เข้าถึงธรรม ท่านต้องการรื้อสัตว์ขนสัตว์ ท่านปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์ แต่กิเลสของเรามันพลิกแพลงว่าสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนานี่เพราะธรรมวินัยนี้ชี้ลงมาที่หัวใจทั้งหมด

พระไตรปิฎกทั้งหมดชี้มาที่ใจนะ ตัวพระไตรปิฎกน่ะเป็นตำรา เป็นทฤษฎีเฉยๆ ชื่อของสมาธิ ชื่อของปัญญา ชื่อของนิพพาน แต่ความจริงมันไม่มีในพระไตรปิฎก ! มันมีอยู่บนหัวใจของสัตว์โลก นั้นมันเป็นเครื่องหมายชี้บอกเข้ามา มันเป็นเป้าหมายวิธีการ มันคือวิธีการที่เราจะรื้อค้น ต้องทำตามนี้ ต้องทำแบบนี้ ต้องทำอย่างนั้น มันถึงจะได้ความจริงขึ้นมา

เราศึกษาขึ้นมาแล้วเราได้ประพฤติปฏิบัติไหม เราได้กระทำไหม ถ้าเราได้กระทำขึ้นมา ทำแล้วมันสมความเป็นจริงไหม ทำเป็นเหมือนกับหุ่นยนต์ไง เห็นเขานั่งก็นั่งกับเขา เห็นเขายืนก็ยืนกับเขา เห็นเขาเดินก็เดินกับเขา เดินไปแล้วน่ะเขาเดิน ๑๐ เก้า ๒๐ เก้า เราเดิน ๑๐๐ ก้าว เราเดินมากกว่า เขาเดิน ๑๐ เก้า ๒๐ เก้า เขามีสติปัญญาของเขานะ เขาทำด้วยความจริงของเขา ไอ้เดิน ๑๐๐ ก้าวเราเดินชมทุ่งไง เราเดินสักแต่ว่าน่ะ หมามันยังวิ่งดีกว่าเราเลย

การกระทำมันต้องมีเหตุมีผลสิ ถ้าทำมันมีเหตุมีผลมันถึงจะเป็นสัจธรรมขึ้นมา พอทำขึ้นมา พอเราตั้งใจทำขึ้นมา สติปัญญา กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันก็เหยียบย่ำ ทำแล้วก็โอดโอย เราทำมากับเขานะ นี่พลังงานมันไม่เป็นเอกภาพ

ความเป็นจริงนะ ดูสิ เวลาเราต้มน้ำเห็นไหม สิ่งต่างๆ เวลาลมมันพัด พลังงานมันไม่อยู่กับที่เลย ลมพัดเข้ามาเตาไฟมันกระจายไปทั่ว ความร้อนมันจะพอ อุณหภูมิมันจะพอไหม มันจะเป็นขึ้นมาไหม ทำของเรา เราทำไม่จริงไม่จัง เราไม่ป้องกัน เราไม่ดูแล

ถ้าเราป้องกัน สติตั้งให้ดี แล้วตั้งใจทำให้ดี ให้มันรู้จริงขึ้นมา สมาธิก็เป็นสมาธินะ จิตสงบขึ้นมา โอ้โฮ มันมีความสงบ สงบมันเกิดจากอะไร ความสงบนี้มันเกิดจากต้องตั้งสตินะ ความสงบนี้เกิดจากความตั้งใจของเรา เราถนอมรักษาของเรา

คำบริกรรมของเรานี้จดจ่อ เพราะพุทโธ พุทโธ ถ้าเราพุทโธช้า พุทโธที่ขาดช่วง พลังงานมันแลบออก มันแวบออก เราเห็นไฟมันแลบออก ไฟมันไม่คงที่ ไฟอุณหภูมิมันไม่ได้ อาหารมันก็ไม่สุกหรอก อาหารมันไม่สุกธรรมดามันจะเสียหายไปอีกด้วยนะ เพราะอาหารถึงเวลาแล้วมันเน่ามันเสีย

นี่ก็เหมือนกัน เวลาทำขึ้นมาแล้วก็โอดโอย ทำไม่ได้ประโยชน์ไม่ได้ผลเห็นไหม ถ้ายังไม่รู้จริง ! จะไม่เข้าใจเหตุว่าทำไมมันถึงไม่รู้จริง ถ้ายังไม่รู้จริงน่ะ คนไม่รู้จริงก็เข้าใจว่าตัวเองมีธรรมะ เพราะอะไร เพราะพูดเหมือนพระไตรปิฎกหมดเลย พระไตรปิฎกพูดคำไหน เราก็พูดคำเดียวกับพระไตรปิฎกเลย แต่ความจริงไม่มีสักชิ้นหนึ่ง สักน้อยนิดในหัวใจ

แต่ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมานะ มันรู้เหตุรู้ผลเพราะอะไร เพราะกว่าจะเป็นความจริงได้มันจะต้องล้มลุกคลุกคลานมา จิตที่ประพฤติปฏิบัติมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝึกอยู่ในป่า ๖ ปี ครูบาอาจารย์ หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ ครูบาอาจารย์ท่านปฏิบัติมาทั้งชีวิต ครูบาอาจารย์น่ะ ๙ ปี ๑๐ ปี อยู่ในป่าต้องต่อสู้กับกิเลสทั้งนั้น ต่อสู้กับตัวตน เอาชนะตัวเองให้ได้ แล้วล้มลุกคลุกคลานมา ล้มลุกเพราะเหตุใด !

สิ่งที่ล้มลุกน่ะมันขาดสติอย่างไร ปัญญาที่มันคิด เวลาปัญญาที่ว่าเรารู้ เรารู้อย่างไร ใช้ปัญญาแล้วจิตมันปล่อยวาง ว่างอย่างไร ว่างอย่างนี้กิเลสหลอก มันไม่มีเหตุมีผล มันว่างเฉยๆ ว่างเหมือนขี้ลอยน้ำ ขี้ก็ลอยไปตามน้ำ ลอยไปๆ ธรรมะๆ ธรรมะเป็นขี้เหรอ

ธรรมะเป็นความจริงนะ! ไม่ใช่ขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง เอาแต่ความโลภ ความโกรธ ความหลงมาแล้วมาอ้างกัน เอาขี้ไปป้ายเขาทั่วไปหมดเลย ตัวเองป้ายตัวเองก็เหม็นพออยู่แล้ว ทำไมต้องไปป้ายคนอื่นอีก ป้ายสิ ! เพราะกลัวเขาไม่ยอมรับเราไง จะบอกเขาว่านี่เป็นธรรม นี่เป็นธรรม ก็มันเป็นขี้ มันเป็นความโลภ ความโกรธ ความหลงทั้งนั้นน่ะ มันเป็นขี้ มันเหม็น

พอมันเหม็นออกไปน่ะ กลิ่นมันก็ไม่ใช่ธรรมะอยู่แล้ว กลิ่นก็เหม็น ข้อมูลก็ขัดแย้ง ความเป็นจริงในหัวใจไม่มีแม้แต่นิดเดียว เพราะครูบาอาจารย์ที่ประพฤติปฏิบัติเป็นความจริงขึ้นมาได้มันต้องล้มลุกคลุกคลานมา ความล้มลุกคลุกคลานอันนี้มันจะฝึกใจขึ้นมา ใจที่มันจะเติบโตขึ้นมาได้ ดูสิ ดูเด็กทารกกว่ามันจะเดินได้ มันจะล้มไปกี่เที่ยวกว่ามันจะยืนขึ้นมาได้ กว่ามันจะยืนขึ้นมาวิ่งเล่นกับสังคมเขาได้

แต่นี้ก็เหมือนกัน ใจของเรามันนอนจมขี้อยู่นะ มันอยู่ในขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง ใจนอนจมขี้อยู่แล้วมันจะลุกขึ้นมาจากขี้ได้อย่างไรล่ะ พอมันนอนจมขี้ก็บอกว่านี่ธรรมะไง ธรรมะของฉันกลิ่นหอมอย่างนี้ หอมแบบแมลงวันไง

แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันหอมแบบแมลงผึ้งนะ มันหอมเกสรดอกไม้ แมลงผึ้งมันชอบของสะอาดบริสุทธิ์ แมลงวันมันชอบของเหม็น ธรรมะเราธรรมะแมลงวันน่ะ ถ้าธรรมะแมลงวันมันก็นอนจมกองขี้อยู่อย่างนั้น แล้วกลิ่นมันคลุ้งไปเขาเข้าใจหมดแล้ว แสดงออกมามันยิ่งเป็นขี้โลภ ขี้โกรธ ขี้หลง ความเป็นจริงมันไม่มี

ฉะนั้นสิ่งใดที่ยังไม่รู้เพราะความล้มลุกคลุกคลานของจิต การประพฤติปฏิบัติมาครูบาอาจารย์แต่ละองค์ต้องมีล้มลุกคลุกคลานมา มันต้องมีผ่านเหตุการณ์วิกฤติในหัวใจ จิตมันฟุ้งซ่านอย่างไร? เวลากิเลสตัณหาความทะยานอยากที่มันเกิดขึ้นมา มันกระทุ้งในหัวใจ มันเหยียบย่ำหัวใจมันทุกข์นะ ทุกข์อะไรไม่เท่ากับทุกข์ใจ ปัจจัยเครื่องอาศัยมันจะขาดแคลนบ้าง มันยังมีเครื่องบรรเทาเอาอย่างอื่นมาทดแทนกันได้

แต่หัวใจเวลามันทุกข์ขึ้นมาจะเอาอะไรไปทดแทนมัน หัวใจมีดวงเดียวนะ ความรู้สึกมีอันเดียว เวลามันทุกข์ขึ้นมามันก็ทุกข์เต็มที่ เวลาความสุขขึ้นมามันให้ผลเล็กน้อยหมด ดูสิ โลกธรรม ๘ เห็นไหม สรรเสริญนินทาขึ้นมามันก็ลมปาก เวลานินทามาเหมือนกับเสาเข็มทิ่มกันไปกลางหัวใจเลย เวลามันทุกข์เจ็บปวดแสบร้อนในใจ เวลามีความสุขขึ้นมาแค่ลมพัดชายเขา

แล้วสิ่งนี้เรายังไม่มีสติสัมปชัญญะ โอปนยิโกเรียกร้องสัตว์ทั้งหลายมาดูธรรม มาดูหัวใจที่ทุกข์ยากนี่สิ อยู่ในป่าในเขาภาวนาจิตมันไม่ลงจะเอาหัวฟาดภูเขาตายอยู่ เรียกร้องสัตว์ทั้งหลายมาดูธรรม ดูอธรรมในใจไง อธรรม อกุศล ความคิดชั่ว ความคิดที่ทำลายหัวใจ เรียกร้องสัตว์ทั้งหลายมาดูอกุศล เวลาจิตมันเป็นสมาธิขึ้นมา จิตมันเป็นธรรมขึ้นมาเห็นไหม สิ่งนี้เป็นธรรมเป็นคุณธรรม

“เรียกร้องสัตว์ทั้งหลายมาดูธรรม” มาดูหัวใจของข้าสิ หัวใจข้ามีความสุข มีความรื่นเริง หัวใจข้ากำลังเกิดธรรมจักร ปัญญามันเกิดขึ้นมาเห็นไหม มันบดขยี้กิเลสอยู่ แล้วถ้าจิตใจมันเป็นธรรมขึ้นมา อกุปปธรรมมันเกิดขึ้นมาในหัวใจ มันบดขยี้กิเลสจนกิเลสมันย่อยสลายไปกลางหัวใจเราเห็นไหม

กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ จิตหลุดออกไปจากกายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ จิตหลุดออกไป จิตมีความปล่อยวางไป จิตรับรู้ออกไป ยะถาภูตัง เกิดญาณทัศนะ เกิดความรู้จริงเห็นจริงเห็นไหม

ถ้าสิ่งนี้มันเกิดขึ้นมา จิตที่ล้มลุกคลุกคลานมันก็ทุกข์ของมัน จิตที่มันพ้นออกไปจากสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส มันก็ต้องมีการกระทำของมัน มีเหตุมีผลของมัน ถ้ามันมีเหตุมีผลอย่างนี้แล้วเห็นไหม ถ้าเข้าถึงอกุปปธรรมแล้ว จิตที่เป็นธรรมแล้วมันจะมีอะไรมาผิดอีก

สิ่งที่มันสูงขึ้นไป สกิทาคามี อนาคามี มันผิดได้ เพราะกิเลสมันละเอียดขึ้นไป แต่สิ่งที่เราผ่านมา เราฆ่ากิเลสตาย สักกายทิฏฐิความเห็นผิด เราทำลายมันกลางหัวใจเราแล้ว มันจะมีสิ่งใดผิดอีก คนที่มีธรรมในหัวใจจะพูดผิดไม่ได้ ! พูดธรรมะผิดไปจากอริยสัจจะความจริงน่ะมันเป็นไปไม่ได้ เพราะจิตเคยล้มลุกคลุกคลานมา จิตเคยยืนตัวเองขึ้นมาได้ จิตเคยเกิดมรรคญาณขึ้นมา มรรคญาณได้ทำลายกิเลสออกไปจากหัวใจ กิเลสมันขาดออกไปจากหัวใจ เราเป็นคนทำลายมันแล้วเราจะมีความสงสัยสิ่งใดในหัวใจอีกไหม

ความลังเลสงสัยในหัวใจที่มันโดนกระทำไป ที่มันขาดออกไปจากหัวใจ สิ่งนี้เป็นความจริงอันนี้ มันจะลังเลสงสัยไหม ถ้าลังเลสงสัย ดูสิ เวลาเป็นโรคเป็นภัย เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา ในหัวใจเรามีอะไร มีแต่ไข้ใช่ไหม เวลาไข้มันหายไป หายไปเพราะอะไร ดูสิ ไข้ของเขาโรคบางโรคไม่ต้องรักษามันก็หาย บางโรคไม่รักษาไม่ได้ต้องตายเด็ดขาด

แล้วโรคของเราเป็นโรคร้าย โรคกิเลสมันเป็นโรคร้าย มันเป็นโรคในวัฏฏะเห็นไหม สิ่งที่มันอยู่ในโอฆะ อยู่ในดงของสัตว์ร้าย มันทำลายเรามาตลอดเวลา แล้วเราทำลายมันออกไปจากใจ เราพ้นออกไปจากมัน มันเป็นความลึกลับมหัศจรรย์ขนาดไหน สิ่งนี้มันต่างกัน โลกกับธรรม

ธรรมะของโลกๆ จำกันมา ปากเปียกปากแฉะ แต่เมื่อสัจจะความจริงมันเกิดขึ้นมาแล้วมันเหนือโลก สิ่งที่ธรรมะเหนือโลกน่ะมันจะพูดเหมือนโลกได้อย่างไร โลกก็คือโลกไง สิ่งที่มันเหนือโลกขึ้นมาแล้ว มันเหนือโลกเพราะเหตุใด มันมีการกระทำ มันมีความเป็นไป เห็นไหม ในเมื่อมันมีความเป็นไปแล้วมันจะผิดจากโลกไปไหน ในเมื่อมันเป็นธรรมเหนือโลก ธรรมะเหนือธรรมชาติน่ะ

ธรรมะเป็นธรรมชาติ เป็นธรรมชาติ การเกิดการตายก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง ความโลภ ความโกรธ ความหลง ก็เป็นธรรมชาติอันหนึ่ง ความโกรธเป็นธรรมชาติของกิเลสนะ มันก็โกรธเป็นธรรมชาติน่ะ ถ้าธรรมะเป็นธรรมชาติ ไอ้คนโกรธอยู่ก็เป็นธรรมะเหมือนกัน แต่มันเป็นธรรมไปไม่ได้ เพราะมันโกรธขึ้นมาทำให้เลือดสูบฉีด ทำให้ร่างกายนี้ใช้พลังงานมาก หัวใจมันต้องใช้พลังงานมาก สิ่งที่เป็นพลังงานมากมันเคลื่อนไหว มันบีบคั้นหัวใจไหม ถ้าบีบคั้นหัวใจนั่นน่ะมันบั่นทอนใจ

แต่ถ้าใจมันเป็นธรรมนะ กิริยาแสดงออกของครูบาอาจารย์เราอันนั้นมันเป็นไปโดยธรรมไง ไปโดยธรรมคือไม่ใช่โลก ! แต่มันเป็นความเข้มข้นของธรรมะ มันเป็นความเข้มข้นของผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร มันเห็นภัยนะ

ดูสิ เราเห็นเด็กจะจมน้ำ เราจะบอกหนูขึ้นมา หนูขึ้นมา มันจะหายจากจมได้ไหม ถ้าเด็กมันจมน้ำถ้าเราไม่โดดลงไปอุ้มมันขึ้นมา เด็กมันจะรอดพ้นจากน้ำมาได้อย่างไร เด็กมันช่วยตัวเองไม่ได้ บอกหนูว่ายเข้าฝั่งสิ ก็มันว่ายน้ำไม่เป็น

นี่ก็เหมือนกัน จิตคนที่มีกิเลสในหัวใจมันไม่รู้จักตัวมันเองหรอก มันนอนจมขี้อยู่นั่นน่ะมันไม่รู้จักว่าเป็นขี้มันเอาขี้ใส่ปาก มันกินขี้ด้วยความพอใจนะ แต่ผู้ที่เห็นโทษพยายามบอกมัน ถ้ามันไม่เข้าใจมันก็ต้องตบมือมัน แล้วก็บอกว่าไม่ได้

อันนี้เป็นอารมณ์รุนแรง สิ่งที่มันเป็นกิเลส ถ้าใจเป็นกิเลส การแสดงออกกิริยาทั้งหมดมันเป็นกิเลสหมด ใจเป็นธรรมแล้วแสดงออกด้วยความรุนแรงขนาดไหนมันเป็นกำลังของธรรม ถ้าธรรมะเห็นไหม เพราะมันเห็นโทษ เห็นถูกเห็นผิด

ความเห็นผิดของเราความเข้มแข็งของเรามันเป็นสัมมาทิฏฐิ ถึงจะเป็นทิฏฐิก็ทิฏฐิที่ถูกต้อง ทิฏฐิที่ว่าเห็นภัยในวัฏสงสาร เห็นภัยในการกระทำที่ผิด ในเมื่อมันทำสิ่งที่กระทำที่ผิดแล้วถ้ามันทำสิ่งที่ทำในทางที่ถูก เราจะทำอย่างไรให้สิ่งที่ผิดมันเป็นสิ่งที่ถูกได้

ผิดถูกมันอยู่ที่ไหน ธรรมะกับอธรรมไง กุศลกับอกุศล กุศลอกุศลมันเกิดจากใคร กุศลมันเกิดขึ้นมาเอง อกุศลมันเกิดขึ้นมาเองเหรอ ธรรมะกับอธรรมมันเกิดขึ้นมาลอยๆ จากฟ้าเหรอ ถ้ามันไม่มีจิต ไม่มีภวาสวะ ไม่มีภพ ไม่มีสถานที่ตั้ง มันเกิดมาจากไหน

ความชั่วมันเกิดมาจากไหน ความชั่วมันก็เกิดมาจากใจที่ชั่วไง ถ้ามันไปชำระที่ใจให้มันสะอาดขึ้นมาได้ มันจะชั่วมาได้อย่างไร ในเมื่อใจมันสะอาดแล้วมันชั่วมันเป็นไปไม่ได้ เพราะใจมันสะอาด

ความชั่วเห็นไหม ดูสิ วิมุตติสุข ใจนี้เป็นธรรมธาตุ ถ้าใจนี้ไม่เสวยอารมณ์ ไม่แสดงออก ไม่เสวย ไม่รับรู้ ไม่มีขันธ์ มันแสดงออกมาได้อย่างไร ตัวพลังงานเฉยๆ ธรรมธาตุมันแสดงออกไม่ได้ เพราะอะไร เพราะจิตล้วนๆ ไม่มีกิริยา กิริยาความคิดต่างๆ มันเป็นกิริยาของจิต มันเป็นอาการของจิตทั้งหมด

จิตมันเป็นวิมุตติ มันไม่มีกิริยา มันทรงตัวของมันโดยธรรมชาติ มันแสดงออกอย่างไร ทีนี้ถ้ามันแสดงออกของมันนะ ครูบาอาจารย์แสดงออกมาเพื่อประโยชน์กับโลก แล้วมันก็เสวยออกมาจากขันธ์ มโนสัญเจตนาหาร มะนัสฺมิงปิ นิพพินทะติ มันทำลายมโน มโนไม่มี จิตไม่มี พระอรหันต์ไม่มีจิต

ในเมื่อไม่มีจิตขึ้นมาแล้วมันจะแสดงตัวออกมากับโลกได้อย่างไร มันแสดงตัวออกมานะ มันก็เสวยออกมา มันเคลื่อนตัวออกมาด้วยแรงของธรรม มันแสดงออกของมันเพื่อประโยชน์กับใคร เพื่อประโยชน์กับโลกใช่ไหม เพื่อประโยชน์กับสมมุติ

เรามีครูมีอาจารย์นะ สิ่งใดที่ไม่รู้สิ่งใดที่ยังไม่แน่ใจอย่าแสดงออกไป เพราะแสดงออกไปแล้วเวลาเขาโต้แย้งกลับมาแล้วเราแก้ไขไม่ได้ คือเราไม่มีเหตุผลรองรับเพียงพอ แต่ใจที่เป็นธรรมจะยืนอยู่ที่ไหนก็เป็นธรรม ธรรมยืนอยู่บนไฟก็คือธรรม ยืนอยู่บนน้ำก็คือธรรม เพราะตัวมันเป็นธรรม เรื่องไฟเรื่องของน้ำไม่ใช่เรื่องของธรรม ไฟกับน้ำก็คือไฟกับน้ำ ธรรมก็คือธรรม ธรรมอยู่บนไฟก็ยังเป็นธรรม อยู่บนน้ำก็เป็นธรรม ใจที่เป็นธรรมเห็นไหม เราต้องรักษาใจเรา ปฏิบัติที่เรา รักษาที่เรา แก้ไขที่เรา เพื่อประโยชน์กับเรา

ประโยชน์ของเราคือชีวิตเรา ประโยชน์ของเราคือสมมุติ คือสสาร คือสมบัติพัสถานมันเป็นสมบัติสาธารณะ เขาไม่พลัดพรากจากเรา เราก็ไปพลัดพรากจากเขา แม้แต่ชีวิตก็มีการพลัดพรากเป็นที่สุด ชีวิตนี้จิตเคลื่อนออกจากร่าง เวลาจิตมันเคลื่อนออกไปก็คือคนตาย แต่จิตไม่เคยตาย

ตัวจิตเห็นไหม ในปัจจุบันจิตนี้ยังไม่ได้เคลื่อน จิตนี้อยู่กับเรา โอกาสที่การกระทำทั้งหมดสสารเคลื่อนตัวไปไม่ได้ สิ่งที่เคลื่อนไปได้คือธาตุรู้ คือตัวจิตที่มันทำให้เราเคลื่อนไหว การทำ การนั่งสมาธิ การภาวนา การสร้างปัญญา ปัญญาที่ว่าสร้าง ปัญญาสมมุตินี้คือปัญญาสร้าง แต่สร้าง ทำจนชำนาญเห็นไหม

มรรคอย่างหยาบ มรรคอย่างละเอียด มรรคมันจะละเอียดเข้าไป ปัญญาเห็นไหม โลกียปัญญา โลกุตตรปัญญา ภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เกิดขึ้นมาจากการฝึกฝนจากการกระทำ ปัญญาที่ไม่มีสมาธิรองรับมันจะเป็นสัญญา

ถ้าปัญญาที่มีสมาธิรองรับ เห็นไหม ปัญญาที่เป็นสัมมาสมาธิ สิ่งที่เกิดเป็นปัญญาขึ้นมา มันจะเข้าเป็นมรรค ๘ สิ่งที่เป็นมรรค ๘ มรรคญาณมันจะเคลื่อนตัวออกไปแล้วกลับมาทำลาย กิเลสในหัวใจของเราเห็นไหม

นี่คนที่ฉลาดเห็นไหม ในเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ยังมีการขับเคลื่อนอยู่ ยังทำคุณงามความดีได้ นี่อามิสบูชา ปฏิบัติบูชา แล้วพอปฏิบัติบูชาแล้ว สิ่งที่ปฏิบัติบูชาเกิดผลไหม ผลที่เกิดขึ้นจากการกระทำนี่ ใครเป็นคนกระทำมันขึ้นมา แล้วทำแล้วมันจะเป็นประโยชน์จริงหรือไม่จริง ถ้าเป็นประโยชน์ไม่จริง กิเลสมันอ้างเล่ห์ไง ปัญญาเกิดแล้ว ทุกอย่างเกิดแล้ว มรรคสมบูรณ์แล้ว เป็นพระอรหันต์แล้ว นี่อ้างหมด คำว่าอ้างก็ไม่ใช่ความจริง ความจริงไม่ใช่อ้าง

เนื้อจิต เนื้อมัน ตัวมันเป็น ตัวมันรับรู้ ตัวมันประหารตัวมัน ตัวมันทำลายตัวมัน ยะถาภูตังญาณทัศนะ ความรู้ความเห็นเกิดชัดเจนมาก สิ่งนี้คือสัจธรรม สิ่งนี้คือความจริง ความจริงที่มีหนึ่งเดียว

ถ้าครูบาอาจารย์หรือผู้ประพฤติปฏิบัติคนไหนเข้าถึงความจริงอันเดียวนี้ มันจะพูดต่างกันจากความจริงอันนี้ไม่ได้ แต่ขณะที่พูดต่างจากความจริงนี้เป็นความจำ จำจากธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง จำจากครูบาอาจารย์ไง จำแบบ “รอยโค” เห็นเกวียนมันผ่านหน้าไป พยายามเดินตามรอยนั้นไป แต่เราไม่มีเกวียน ไม่มีโค เราเดินตามรอยเขาไป เห็นรอยเกวียนน่ะเดินตามรอยเกวียนไป แล้วเกวียนเราอยู่ไหน เกวียนมันบรรทุกสัมภาระได้นะ

ธรรมะสัจจะความจริงทำคุณงามความดี มันขนของสิ่งดีๆ มาทั้งนั้น แต่เราไม่รู้ไม่เห็น เกวียนก็ไม่รู้จัก โคก็ไม่รู้จัก เห็นแต่รอย แล้วก็ว่านี่รอยเกวียน เกวียนเป็นอย่างไร? ไม่รู้ แล้วโค.. โคยิ่งไม่รู้ใหญ่เลย แต่เห็นแต่รอย รอยมันตรงไป นี่รอย นี่ไงจำมา ถ้าเราคุยมาน่ะ ธรรมะเป็นที่สองไง รอยเกวียน โคเทียมเกวียนไปข้างหน้า

ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางแนวทางไว้ เห็นแต่รอยก็คิดว่ารอยนั้นคือนิพพานไง แล้วโคมึงล่ะ แล้วเกวียนมึงล่ะ แล้วการกระทำที่เป็นสัจจะความจริงล่ะ จิตที่ล้มลุกคลุกคลาน จิตที่ส่งเสริมขึ้นมาจนเป็นความจริง จิตที่มีคุณภาพกลั่นออกมาจากจิต จิตกลั่นออกจากอริยสัจ เห็นไหม โสดาบันมีจิตนะ สกิทาคามี อนาคามี อนาคามีเห็นไหม อยู่ในเรือน อารามิกผู้ที่ไม่มีเรือน แต่ตัวยังมีอยู่เห็นไหม

จิตนี้กลั่นออกมาจากอริยสัจ ถึงที่สุดแล้วนะ ยะถาภูตังญาณทัศนะ เห็นไหม ถึงที่สุดน่ะ อาสเวหิ จิตฺตานิ วิมุจฺจิง สูติ ตัวจิตมันจะทำลายตัวมันเองจนไม่มีตัวตน ไม่มีสถานะ ไม่มีสิ่งใดทั้งสิ้น เข้าเป็นธรรมธาตุไปนะ พระอรหันต์ถึงไม่มีตัวจิตไง

แต่ขณะที่เป็นพระอริยบุคคลน่ะจิตมี ตัวตนมี รับรู้ได้ สิ่งต่างๆ รับรู้ได้ สิ่งนี้เรียกร้องสัตว์ทั้งหลายมาดูธรรม ธรรมของใคร สูงต่ำแค่ไหน การแสดงออกมามันฟ้องหมด มันฟ้องถึงผู้รู้จริง รู้ขนาดไหนพูดได้ขนาดนั้น รู้ไม่ได้ก็พูดไม่ได้

ฉะนั้นถ้าไม่รู้จริงอย่าเพิ่งพูด อย่าพูดออกไป พูดออกไปนะคำพูดเรามันจะกลับมาทำลายเรา ทำให้เขาดูถูกศาสนา ภิกษุในพุทธศาสนาทำไมพูดออกมาแล้วไม่รับผิดชอบ ภิกษุในพุทธศาสนาไหนว่ามีศีลไง ไหนว่ามีความซื่อสัตย์ มีสัจจะ มีความจริงไง แล้วพูดออกมาทำไมเรามีความโต้แย้งได้ล่ะ

แต่ถ้าเป็นความจริงนะ ให้โต้แย้งมา โต้แย้งมา สัจจะมีหนึ่งเดียวจะโต้แย้งได้อย่างไร หนึ่งที่ไม่มีสอง คำพูดที่เป็นสองไง มีถูกกับผิดไง แต่ความจริงพูดหนึ่งเดียว พูดมา.. ถ้าโต้แย้งมาก็โต้ไม่ได้ มันจะต้องลงทางเดียวกัน มันจะต้องเป็นอันเดียวกัน มันจะเป็นประโยชน์กับศาสนา เราถึงต้องตั้งใจนะ ประพฤติปฏิบัติของเราให้รู้จริงแล้วเราค่อยแสดงออก เอวัง